เล่าประสบการณ์ลูกเรียน 5 ภาษา Multilingual ตั้งแต่เล็ก

โดย ตาล เพจYummyMummyTarn
(ยาวหน่อนนะคะ แต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ให้คิดตาม)

 

ช่วงนี้เห็นคนแชร์กันเรื่อง เด็ก 5 ภาษา พอดีมีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงเลยอยากนำมาแบ่งปันกัน
โดยบทความนี้ ไม่ได้จะสนับสนุน หรือ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ให้พาลูกไปเรียนโรงเรียนใดๆทั้งสิ้นนะคะ

 

เพราะส่วนตัวคิดว่า การเรียนหลายๆภาษาตั้งแต่เล็ก
ไม่จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน เลยยังงงอยู่ ว่าทำไมช่วงนี้เค้าฮิต
..มันฟังดูดีนะ แต่ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น..
ที่ลูกของตาลเรียนมา มันบังเอิญล้วนๆ… ก็เลยต้องสนับสนุนต่อไปยาวๆ

 

เชิญชมคลิปขำๆกับภาษาต่างๆจากแพมก่อนเลยค่ะ (เป็นคลิปนานมาแล้ว)

 

ลูก คือ น้องแพม ก็เรียน 5 ภาษามาตั้งแต่เล็กๆ
โดย 5 ภาษาที่เรียน คือ ไทย อังกฤษ สเปน จีน และ ญีปุ่น

 

ต้องออกตัวก่อนว่า ตาลไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือ มีการค้นคว้าศึกษา
หรือ สนใจด้านวิชาการมาเลยนะคะ
อันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์จริง ในฐานะแม่คนหนึ่ง
ที่มีลูกเรียนแบบนี้จริงๆ
ไร้คำอ้างอิงจากทฤษฎีใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้น ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณกันเอง
ตาลไม่สามารถชี้ได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
เพราะ ตาลก็ไม่รู้เหมือนกัน
แค่อยากแบ่งปันเพราะคิดว่าอาจจะมีประโยชน์แก่ครอบครัวอื่น
เพราะ มันก็มีปัญหาหลายๆอย่าง เหมือนกันในขณะที่เรียน

 

ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีนโยบายให้ลูกต้องเรียนติวพิเศษ
เพราะ เห็นว่าถ้าลูกตั้งใตเรียนที่โรงเรียน และ
ไม่ได้มีปัญหาอะไรให้หนักใจ
การเรียนแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

 

—แล้วทำไม ถึงให้เรียนตั้ง 5 ภาษา?—-

.. เพราะบังเอิญ เลยหยุดไม่ได้…
เริ่มแรก ไม่ได้มาแนวนี้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปค่ะ …

 

เอาเป็นว่า ตาลแค่วางแผนตั้งแต่เล็กแล้ว
ว่าจะให้เรียนระบบอินเตอร์แน่นอน
ตอนเด็กๆ ตั้งแต่เค้าพอรู้เรื่อง
เราก็พูดภาษาไทยกับลูก
พร้อมผสมคำศัพท์ เล็กๆน้อยๆ เป็นภาษาอังกฤษ
เล็กๆน้อยๆเท่านั้นนะคะ ไม่ได้แบบพูดอังกฤษรัวๆ

 

เหตุผลที่ไม่พยายามพูดอังกฤษกับลูกแบบรัวๆ
แบบหลายบ้านที่ชอบทำกัน ตามทฤษฎีเลี้ยงลูก 2 ภาษา เพราะ

 

1. ไม่แน่ใจความสามารถของตัวเอง ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แข็งแรงแบบเจ้าของภาษา
ไม่อยากพยายาม เดี๋ยวลูกได้ผิดๆยิ่งแย่ (บ้านไหนอังกฤษแข็งแรง เอาเลยค่ะ ลูกน่าจะได้สิ่งดีๆแบบถูกต้อง)

2. ณ ตอนนั้น ก่อนลูก 2 ขวบ… มีความตั้งใจ และ วางแผนให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติอยู่แล้ว ดังนั้นภาษาอังกฤษเค้าก็จะไปได้เองอัตโนมัติที่โรงเรียน ส่วนการสอนคำศัพท์ และ ประโยคง่ายๆนั้น เอาไว้แค่ให้เค้ารู้เป็นพื้นฐานนิดๆหน่อยๆพอ แค่เผื่อเวลาไปเรียนอนุบาลนานาชาติ จะพอฟังครูรู้เรื่องบ้าง อย่างน้อยรู้ว่า pee pee / poo poo คืออะไร… คำศัพท์พวกนี้ สำคัญกว่าสอนเด็กนับเลขอีกนะคะ 5555 เค้าเรียกว่าเน้นการสอนศัพท์สำหรับทักษะชีวิต เพื่อเอาตัวรอดค่ะ … หลังจากนั้นเรื่องภาษาอังกฤษ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนไป เด็กๆปรับตัวง่ายค่ะ

3. เพราะ เด็กๆปรับตัวง่าย เรียนรู้ง่าย ในวัยก่อน 3 ขวบ จึงอยากใช้ภาษาไทย เป็นภาษาหลักในการสื่อสารค่ะบางบ้านเน้นใช้อังกฤษเป็นหลัก ทั้งๆที่พ่อแม่เป็นไทยหมด… สรุปว่าลูกสื่อสาร และ ตอบสนองกับภาษาอังกฤษดี๊ดี แต่งงๆกับภาษาไทย… อันนี้ก็จะตลกไปหน่อย (ในความคิดส่วนตัวนะคะ) คือ แบบว่า เราเป็นคนไทยอ่ะ และ ยังใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยด้วย คุยไทยกับลูกก็ได้มั้งคะ (เดี๋ยวจะเล่าต่อ ว่าหลังจากแพมเข้าโรงเรียนแล้ว ปกติคุยกับแพมภาษาอะไร)
 

มาต่อกันในวัยใส ยามเรียนอนุบาล… ณ ตอนนั้น เราได้ภาษาไทยแล้วนะคะ ภาษาอังกฤษรู้ศัพท์บ้างแบบง่ายๆ กับประโยคง่ายๆ ซึ่งตอนไปโรงเรียน คุณครูชมมาค่ะ ว่า แพมเข้าใจที่ครูพูดนะ เท่ากับว่า ภาษาเล็กๆน้อยๆที่เราค่อยๆสอนเค้า เค้าเรียนรู้ได้ไม่มีปัญหา

 

แพมเริ่มไปเรียนอนุบาลนานาชาติแห่งหนึ่ง ในซอยต้นสน ตอนอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง ใจจริงอยากรอ 3 ขวบ แต่ตอนไปดูโรงเรียน แพมตื่นเต้นและมีท่าทีชอบมาก เลยจัดไป…

 

–วัยใสไปเรียนอนุบาล–

 

ครูเป็นฝรั่ง ฝรั่งแท้ๆ แต่มีครูพี่เลี้ยงเป็นไทย
โรงเรียนสอนดีมาก ดูเหมือนเล่นสนุกทั้งวัน
แต่ภาษา และ ความรู้ ถูกสอดแทรกมาเต็มๆ
สำเนียงได้มาจากช่วงเรียนอนุบาลนี้เลยค่ะ
สำเนียงเนี้ยะ ไม่ใช่ได้ตอนเรียนช่วงประถมนะ

 

เอาเป็นว่าเรื่องของสำเนียง
เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้
และ ถ้าได้สำเนียงดีๆตั้งแต่ตอนเล็กๆ
จะติดตัวเป็นพื้นฐานไปจนโต

 

เพราะเด็กมีความสามารถในการแยกแยะ
สังเกตจาก เวลาเค้าเล่นกับเพื่อนฝรั่ง
หรือ คุยกับครู แพมจะใช้สำเนียงฝรั่งจ๋าเลย
แต่พอเล่นกับเพื่อนไทยแท้ สำเนียงเปลี่ยนไปตามเพื่อนซะงั้น
(อันนี้สังเกตตอนโตแล้ว ที่โรงเรียนปัจจุบัน ไม่ใช่ช่วงอนุบาล)

 

พอเรียนอนุบาลที่นี่ไปเรื่อยๆ จนอนุบาล 2 มีพวก After School ให้เลือกเรียน
แพมเดินมาบอกว่า เค้ามี Chinese อยากลองเรียน
ตาลก็จัดไป ตามคำขอ โดยจะมีเหล่าซือ มาสอนเด็กๆ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
เรียนเป็นกรุ๊ปเล็กๆ ก็สอนคำง่ายๆ พร้อมระบายสี วาดรูปไปแบบแนวเด็กเล็ก

 

บังเอิญแพมสนุกมาก และ สามารถจดจำคำศัพท์มาได้แบบสบายๆ ก็เรียนไปเรื่อยๆ
ได้ความรู้เพิ่มมาอีก 1 ภาษา… ตอนนี้เป็น 3 ภาษาในหัวละนะ

 

ต่อมา… after school ที่โรงเรียน มีเปิดสอนภาษาสเปน…
ลูกน้อยตัวแสบเดินมาบอกว่า อยากเรียนบ้าง ชอบครูคนนี้
เพื่อนก็เรียน อยากลอง
อ่ะ… จัดไป…. ภาษาที่ 4 ก็เริ่มต้นตั้งแต่วัย 5 ขวบ
เรียนอาทิตย์ละครั้ง แบบง่ายๆ สนุกๆ

 

เรียนไปมา เค้ายกเลิกภาษาจีน
ทีนี่แพมยังสนุกอยู่ แต่โรงเรียนไม่เปิดสอนละ
เลยติดต่อให้คุณครูมาสอนพิเศษที่บ้านแทน
อาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง (เท่านั้น)
และ เรียนมาเรื่อยๆ

 

เมื่อจบวัยอนุบาล และ ต้องย้ายไปโรงเรียนใหญ่
ภาษาจีน เรียนที่บ้านแล้ว
ส่วนภาษาสเปน เอาไงดี?
ถามแพม แพมบอกอยากเรียนต่อ
ก็คุยกับแพมว่า ถ้าอยากเรียน ต้องไปเรียนเอานอกเวลาเรียนนะ
ใจจริง ไม่อยากให้ลูก มีช่วงเวลาเรียนพิเศษนอกโรงเรียนเลย
ไม่สนับสนุน แต่ แพมไม่เหมือนแม่ แพมขยัน
แพมชอบเรียน แพมบอกโอเค
มีแต่แม่ที่งง เพราะ แม่ไม่ชอบเรียน แม่ขี้เกียจไปรอด้วย 5555
เอาเป็นว่า เค้าขอเรียนเอง ตาลก็จัดให้…
เราเลยหาที่เรียนต่อ ไปได้โรงเรียนสอนสเปนมา
ก็เรียนอาทิตย์ ละ 1 ชั่วโมง เช่นกัน
เรียนยาวมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

 

สำหรับภาษาที่ 5 คือ ภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาล่าสุด ที่แพมเรียน
เพิ่งเริ่มเรียน เป็นวิชาเลือก ที่โรงเรียน เมื่อปีที่แล้ว ตอนอยู่ ป.2 (=Year3)
เรียนอาทิตย์ละ หลายครั้งอยู่ มีเซนเซ มาสอน
โรงเรียนแพม จะบังคับให้เลือกเรียนภาษาเพิ่มเติม 1 ภาษา
โดยสามารถเลือกได้ ว่าจะเอา จีน ญี่ปุ่น สเปน หรือ ฝรั่งเศส

 

แพมบอกว่า จีนเรียนแล้ว สเปนเรียนแล้ว ขอเลือกเรียนญี่ปุ่นดีกว่า

 

แรงบัลดาลใจอย่างหนึ่งของแพม คือ เค้าไปญี่ปุ่นบ่อย เค้าอยากรู้เรื่อง
ตอนนี้วิชาญี่ปุ่น เป็นวิชาโปรดไปเลย คุณครูก็ชมว่าเค้าทำได้ดี และ
มีความสนใจเกี่ยวกับภาษา และ รู้เรื่องเกี่ยวกับญีปุ่นเยอะ
(เห็นมั้ยคะ.. การพาลูกเที่ยว มีประโยชน์นะ จะบอกให้)

 

…ทั้งหมด ยาวๆที่เล่าไป เป็นที่มาของการเรียน 5 ภาษา ของเด็กหญิงแพม…

 

….เรียนมา ได้อะไรบ้างมั้ย?….

 

แพมเรียน 4 ภาษา ควบไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อนุบาล
จะเห็นได้ว่า ภาษาจีน และ สเปน
เรียนเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้งเท่านั้น
ชิลมากๆ

 

ถามว่าตอนนี้ ในวัย 9 ขวบ เรียนมาหลายปีแล้ว ได้อะไรบ้างมั้ย?

 

ภาษาอังกฤษ ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้แซงตาลไปแล้ว

 

สำหรับจีน กับ สเปน เนื่องจากตาลไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย
แค่เค้ามีความชอบ อยากเรียนรู้ และได้คำศัพท์
ได้ความรู้บ้าง มากน้อยไม่เป็นไร แค่นี้ตาลก็พอใจแล้วค่ะ
เน้นเรียนยาวๆ ชิลๆ….

 

ไม่ได้คาดหวัง แบบลูกจะต้อง สื่อสาร พูดได้ เขียนได้ ในภาษาที่เรียน
ทุกภาษาอย่างรัวๆ คือ ถ้าทำได้ก็คงดี แต่ในความเป็นจริง
สภาวะแวดล้อมไม่เอื้อ ไม่มีใครพูด หรือ ใช้ภาษาเหล่านั้นกับเค้าบ่อยๆ
และ ต่อเนื่อง ดังนั้น คงไม่แปลก ถ้าเค้าจะมีความเข้าใจในภาษา
แต่อาจจะไม่สามารถพูดคล่อง เหมือนภาษาไทย และ อังกฤษ
ซึ่งใช้ในชีวิตประจำวันสม่ำเสมอ

 

ส่วนภาษาล่าสุด เรียน คือ ภาษาญี่ปุ่น เริ่มตอนอายุประมาณ 8 ขวบ
เค้าก็ดูมีพัฒนาการในทางที่ดีนะคะ อาจเป็นเพราะ
ได้เรียนหลายครั้งในสัปดาห์ และ มีเพื่อนร่วมเรียนด้วย
ไม่ได้เรียนตัวต่อตัวเหมือนจีนและสเปน
จึงมีการสนับสนุนให้เด็กๆพูด และ ใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ
ดูแพมสนุกมาก เวลามาเล่าให้ฟังหลังเลิกเรียน

 

…เรียน 5 ภาษา เด็กมีความสับสนมั้ย?…

 

ไม่นะคะ … แพมไม่มีปัญหานี้ จะเห็นได้ว่า 4 ภาษาแรก เริ่มเรียนก่อน 7 ขวบ ซึ่งตามทฤษฎี คือ สมองยังเปิดรับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ เด็กจะรับภาษาต่างๆได้ง่าย สมองเด็กจะมีระบบการจดจำ และ การพัฒนาอย่างสูงสุด ตอนนี้เรียน 5 ภาษาพร้อมๆกัน เค้าก็แยกแยะได้ดี ทั้งๆที่ บางภาษาเรียนแบบชิลๆ

 

แต่ทั้งนี้ ตาลว่าแล้วแต่เด็กด้วยค่ะ เอาจริงๆคือ ผู้ใหญ่อย่างเราๆอาจจะลำบาก ดังนั้น เด็กบางคนก็อาจจะเกิดความสับสนได้เช่นกัน (ไม่มีทฤษฎี อันนี้จากความคิดเห็นส่วนตัว เพราะ ตัวตาลเอง ถ้าให้ไปเรียน คงไปไม่รอด)

 

…ปัญหาที่เกิด จากการเรียนหลายๆภาษา มีมั้ย?…

 

มีค่ะ เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้ แต่ปัญหาไม่ได้มาจากการเรียนหลายภาษานะคะ แต่ปัญหามาจากระดับความยากของภาษาที่เพิ่มขึ้น

 

คือ ตอนนี้แพม 9 ขวบละ มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง
และ เค้าให้เหตุผลว่า ภาษาจีนเค้าไม่อยากเรียนแล้ว เค้าอยากเลิก อยากพอ
มันยาก

 

ทีนี้ พูดกันตามตรงว่า เสียดาย และ คิดว่าระยะยาว ภาษาจีนจะมีประโยชน์ต่อเค้า
ก็ไม่อยากให้เลิก ก็ต่อรองกันไปมา

 

แพมบอกว่า ‘ภาษาจีนอาจมีประโยชน์กับคนอื่น แต่มันอาจไม่มีประโยชน์สำหรับหนู..
แม่รู้ได้ยังไง ว่าอนาคตจะมีประโยชน์กับหนู’

 

แม่ก็อึ้งสิคะ… คือ level ที่เค้าเรียนตอนนี้ มันยากจริงๆ ใจหนึ่งก็เข้าใจ
อีกใจก็แอบเสียดาย เพราะ เหล่าซือบอกว่า แพมทำได้ดี
คือ ถ้าแพมแบบไม่ไหว หัวไม่ไปเลย คงจะเชียร์ให้เลิกนานแล้ว
แต่นี้คือพอไปได้แบบโอเคด้วย คนเป็นแม่ก็เลยแบบ ลืมเจตนาเดิมไป
เจตนาที่อยากให้ลูกได้ตัดสินใจเอง และ เรียนรู้อย่างมีความสุข
เจตนาที่จะไม่บังคับลูกเรื่องเรียนแบบนี้

 

หลังจากตาลคิดได้… และ แน่นอนว่า แพมโตแล้ว
เหตุผลเค้าเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะฟัง และ คิดตามบ้าง

 

สรุป… เราให้แพมพักเรียนจีนยาวไปก่อน จนกว่าแพมคิดว่าแพมพร้อม
ซึ่งไม่รู้หรอก ว่าแพมจะกลับมาเรียนอีกมั้ย แต่ไม่อยากฝืนแพม

 

….เมื่อให้แพมพักเรียนจีน (เพิ่งเลิกเรียนไป สองอาทิตย์) อยู่ๆแพมก็เดินมาบอกว่า
‘แม่ ถ้าเกิดว่า เราเรียนจีน อาทิตย์เว้นอาทิตย์ได้มั้ยอ่ะ?’ ….
คือ ตอนได้ยินตาลแอบดีใจนะ แปลว่าเค้า ลึกๆยังเสียดายอยู่ ยังมีความอยากเรียน
แต่ด้วยวัย และ ด้วยความที่มีกิจกรรมที่โรงเรียนให้ทำ ให้สนุกเยอะ
เค้าก็เลยขี้เกียจ ที่จะกลับมาบ้านเรียนจีนต่ออีก 1 ชั่วโมง (แถมบทเรียนก็ยากขึ้นๆ)
ตาลเลยตอบไปว่า พักไปก่อนเถอะ รอให้ใจสบายๆ ค่อยว่ากัน เกรงใจครูนะ
ใครจะมาให้อาทิตย์เว้นอาทิตย์ 5555… ตาลขอเล่นมุขเล่นตัวหน่อย เค้าจะได้รู้สึก
อยากกลับมาเรียน แต่แม่ไม่ให้เรียน…

 

นอกจากปัญหานี้แล้ว… อย่าลืมว่า การเรียนภาษาสำหรับเด็กต้องเรียนยาวๆ
ถ้าเกิดเรียนไม่นานเลิก อนาคตจะกลับมาเรียนอาจต่อไม่ติด
หรือ ต้องเริ่มกันใหม่เลยนะคะซึ่งก็ไม่แตกต่างกับการที่เราจะให้ลูกไปเรียนตอนโตหน่อย

(เช่นช่วงมัธยม หรือ มหาวิทยาลัย)

 

ใครที่คิดจะเริ่มพร้อมๆกันหลายๆภาษา ตั้งแต่อนุบาล
(โดยที่ไม่ใช่มีพ่อหรือแม่เป็นชาตินั้นๆ)
ก็ลองไปคิดดูนะคะ ว่าจะสนับสนุนให้เด็กๆใช้ภาษาอย่างต่อเนื่องกันอย่างไร
จะได้ไม่เสียดาย ทั้งเงิน ทั้งเวลา ที่พาลูกไปเรียน

 

… การเรียนหลายๆภาษา จำเป็น หรือ แค่ตามกระแส? …

 

ตอบจริงๆ ตรงๆนะ…. ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว
และ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเอง
การเรียนและรู้หลายๆภาษา เป็นเรื่องที่ดีแน่นอน
แต่ไม่สนับสนุนให้พ่อแม่ จัดโปรแกรม บังคับลูกเรียน

 

แนะนำให้สำรวจความพร้อมของเด็ก
เพราะความสนใจของเด็ก ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เด็กคนไหนชอบด้านภาษา ก็สนับสนุนกันไป
เด็กคนไหนไม่เอา ก็อย่าบังคับ ให้ตามกระแสเลยค่ะ
นอกจากเด็กจะไม่มีความสุข พ่อแม่ก็ผิดหวัง (เพราะคาดหวัง) แถมสิ้นเปลืองด้วย

 

อย่างที่บอกไป การเรียนภาษาเป็นเรื่องของการเรียนระยะยาว
ถ้าให้ลูกเรียนตอนอนุบาล แต่พอขึ้นประถมก็ให้เลิก
สิ่งที่เรียนไป คิดว่าเด็กจะจำได้ หรือ หายไปหมดคะ?
ข้อนี้ตาลก็ไม่รู้ ตาลไม่มีทฤษฎีอ้างอิง
ตาลพูดแบบความเข้าใจชาวบ้านๆ
ตาลรูัแค่ว่า ถ้ามีคนที่บ้านใช้ภาษานั้นๆ หรือ
เด็กได้อยู่ต่อในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาเหล่านั้น
เด็กๆก็จะไม่ลืม และ สามารถใช้ภาษาต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ตาลถึงบอกไปตั้งแต่แรกว่า เรียนหลายๆภาษาเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
ต้องดูความพร้อมของเด็กด้วย

 

กรณีแพม เค้าชอบ เค้าไปไหว เราเป็นผู้ปกครอง ก็สนับสนุนกันไป เท่าที่สามารถ
ในขณะเดียวกัน ถ้าบอกให้บังคับแพมไปเรียนเลข จะได้คิดเลขเก่งๆ เค้าก็คงไม่เอา
คือ ไม่ใช่ไม่ชอบวิชาเลขนะคะ แต่เค้าก็บอกว่า แค่เรียนในห้องก็พอแล้ว
อาจคิดเลขไม่เร็วเท่าเพื่อนๆที่ไปเรียนพิเศษมา
แต่ก็ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งเรารับกันได้

 

อย่างตัวตาลเอง ให้ไปเรียนภาษาเพิ่มเติ่ม ตาลก็ไม่รอดค่ะ หัวไม่ไปกว่านี้แล้ว
ดังนั้น พ่อแม่ ก็ควรคิดนะคะ ว่าเด็กๆแตกต่างกัน ถ้าเค้าไม่ชอบด้านนี้
สนับสนุนด้านอื่น ที่เค้าชอบจะดีกว่า อย่ายัดเยียด

 

— ถ้าอยากให้ลูกเรียน หลายๆภาษา เริ่มต้นกี่ชวบดี? —

 

เริ่มเมื่อลูกพร้อม เรียนได้ค่ะ ไม่สับสนจริงๆนะคะ แต่ทุกคนในบ้านต้องช่วยกันสนับสนุน

 

— ในขณะที่ลูกเรียนภาษาเพิ่ม ที่บ้านควรทำอย่างไร เพื่อสนับสนุน? —

 

อันนี้แล้วแต่บ้านนะคะ สำหรับตาล เราก็เรียนรู้ภาษาใหม่ๆไปพร้อมๆลูกเลยละกัน
พอลูกเริ่มเรียนภาษาต่างๆ ที่เราไม่รู้ ตาลจะโหลด App ภาษานั้นๆมาศึกษา
และ หาซื้อหนังสือมาเรียนเองบ้างด้วย แรกๆก็ทันกัน แต่พอเรียนนานๆไป
แม่ขอวางมือ ยอมแพ้ เพราะ ตามไม่ทันแล้ว

 

การที่เราเรียนรู้นิดๆหน่อยๆไปพร้อมๆลูก มันช่วยให้ลูกสนุกในการเรียนขึ้นนะคะ
เพราะเหมือนว่า แม่ก็รู้เรื่องเหมือนกันนะ มาลองพูดคำศัพท์สนุกๆกัน
ทุกวันนี้เวลาแพมกลับจากเรียนญี่ปุ่น
จะถามแพมเสมอว่ามีอะไรมาสอนแม่บ้าง
บางครั้งเราจะพูดถึงของสิ่งหนึ่ง เป็นหลายๆภาษา
เช่น คำว่า น้ำ … เราก็จะคุยกันว่า ภาษาจีนเรียกกว่าอะไร สเปนหล่ะ ญี่ปุ่นหล่ะ
มันก็สนุกดีนะคะ

 

— แล้วสำหรับภาษาอังกฤษ.. จำเป็นต้องพูดกับลูกที่บ้านตลอดเวลามั้ย? —

 

สำหรับที่บ้านเรานะคะ ไม่มีใครพูดอังกฤษกับแพมค่ะ ถ้ามีก็สั้นๆ เล็กๆน้อยๆ บางเวลาเท่านั้น… แต่มีบ้างที่ แพมจะพูด(บ่น)คนเดียว หรือ ตอบเราเป็นอังกฤษ… แม่ก็ยืนยันถามเป็นไทย นางก็ตอบเป็นอังกฤษ… แต่ส่วนมาก เกือบจะ 97% ที่บ้านเราสื่อสารกันด้วยภาษาไทย การพูด การโต้ตอบ ชัดเจน และ สามารถใช้คำศัพท์จิกกัดเจ็บแบบไทยๆได้เลยค่ะ

 

เคยมีอาจารย์หมอแนะนำมานานแล้วเรื่องนี้ ว่าพูดไทยไปเหอะ สำหรับเด็กๆที่เรียนนานาชาติ เพราะ ถ้าเค้าใช้อังกฤษเยอะแล้วที่โรงเรียน ถ้ากลับบ้านยังอังกฤษอีก ท้ายที่สุด เค้าจะไม่ยอมพูดภาษาไทย เพราะ คุ้นชิน และ นั้นคงไม่เหมาะ สำหรับการที่เด็กคนหนึ่งยังต้องเติบโต และ อาศัยอยู่ในประเทศไทย

 

— เรียน 5 ภาษา คิดว่าภาษาไหนสำคัญที่สุด?—

 

ไม่ว่าจะเรียนกี่ภาษาก็ตาม ภาษาที่สำคัญที่สุด คือ ภาษาไทยค่ะ
คือ ถ้าเราเป็นคนไทย และ อยู่ในประเทศไทย
ภาษาไทยก็ย่อมสำคัญที่สุด
สำหรับแพม ภาษาไทย เป็นภาษาที่ยากที่สุดด้วยค่ะ
เนื่องจากเรียนนานาชาติมา โรงเรียนมีสอนไทยนะ
อาทิตย์ละหลายชั่วโมงอยู่ สอนทั้งวิชาการ และ วัฒนธรรม
แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งเรียนยิ่งยาก
แพมเลยค่อยข้างช้าในการเขียนและอ่านไทย

ในขณะที่ภาษาอื่นๆไม่มีปัญหา
แต่ก็ต้องพยายามกันต่อไป เพราะ ภาษานี้ เป็นภาษาที่สำคัญที่สุดจริงๆ

อยู่เมืองไทย ภาษาไทยต้องได้ค่ะ

 

สำหรับพ่อแม่ท่านอื่นๆที่มีลูกเรียนนานาชาติ
อยากขอแนะนำเป็นพิเศษเลย
ว่าอย่าลืมภาษาไทยกัน
ควรให้เด็กๆเรียนไว้ตั้งแต่เล็ก จะง่ายกว่า
เพราะ พอโตไปบทเรียนเริ่มยาก เด็กจะตามไม่ทัน
และ ท้อได้เลย

 

— สรุป ข้อดี และ ข้อเสีย ของการเรียนหลายๆภาษา Multilingual ตั้งแต่เล็ก  —

 

ข้อดี

– ได้เรียนรู้ภาษาต่างๆมากขึ้น อนาคตอาจเป็นประโยชน์ต่อตัวเด็กๆ
– สนุกขึ้น เวลาเดินทางไปเจอผู้คนที่ใช้ภาษาที่เค้าเรียนมา

 

ข้อเสีย
– ถ้าเรียนหลายภาษา ก็ใช้เวลาในการเรียนรู้ต่อสัปดาห์หลายชั่วโมง ต้องจัดตารางดีๆ
– ยิ่งเรียนยิ่งยาก และ แน่นอนว่ามีการบ้านด้วย
– ถ้าเลิกเรียน แล้วเด็กไม่ได้มีการทบทวน หรือ มีโอกาสได้ใช้ภาษาต่อเนื่อง เด็กก็อาจจะลืมสิ่งที่เคยเรียนมาทั้งหมดเลยก็ได้ มันไม่ใช่ว่าเรียนตอนอนุบาล แล้วจะทำให้เด็กสามารถจำได้จนโต มันมหัศจรรย์ไปค่ะ
– ค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษามักจะสูงกว่าการเรียนวิชาการด้านอื่นๆ

 

ข้อแนะนำ
– ควรดูความพร้อม ความสนใจของเด็กเป็นหลัก
– ควรเลือกหาคุณครูที่สอนที่เป็นเจ้าของภาษามาสอน และมีความสามารถที่จะเอาลูกของเราอยู่ เข้ากับลูกเราได้ ตามวัยทีเหมาะสม
– การเรียนภาษาสำหรับเด็ก เป็นการเรียนแบบสม่ำเสมอ ระยะยาวเป็นปีๆ ถึงจะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจน อย่างคาดหวังว่าจะได้อะไรจากการเรียนรู้แบบเร่งรัด
– ถ้าเป็นไปได้ พาเด็กๆไปสัมผัส ประเทศที่เค้าใช้ภาษาที่เด็กเรียน เพื่อหาประสบการณ์ และ เด็กๆ จะได้เห็นว่าภาษาที่เค้าเรียนมันมีการใช้งานได้จริงอย่างไร เป็นแรงบัลดาลใจในการเรียนรู้ภาษาที่ดีมากๆ

 

 

หวังว่าบทความนี้ จะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังพิจารณาเรื่องเรียนภาษาของลูกๆอยู่นะคะ

ถ้าใครมีคำถาม หรือ อยากร่วมแบ่งปันมุมมองต่างๆกัน แวะมาพูดคุยกันได้เลย

แน่นอนว่า ถ้าเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ สามารถกดแชร์ได้ ส่งต่อได้ แต่ขอความกรุณาอย่าก๊อปปี้ข้อความนี้เพื่อไปแปะที่เวปไซต์อื่นเลยนะคะ ตั้งใจเขียนมาแบ่งปันประสบการณ์จริงๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจให้นำไปใช้เผยแพร่ที่เวปไซต์อื่น ถ้านำไปใช้ ระวังนะคะ ตาลจะตามไปขอพบแน่นอน ไม่ได้ล้อเล่นนะ

เรื่องนี้เขียนยาวมาก… ขอบคุณที่ติตตามอ่านจบจบค่ะ

เรื่องหน้า พาลูกไปเที่ยวกันต่อดีกว่าเนอะ

ตาล #YummyMummyTarn